Monday, December 19, 2011

12/19/11

ช่วงสอง-สามเดือนที่ผ่านมา ผมขายกีตาร์โปร่งไปหนึ่งตัว กีตาร์ไฟฟ้าหนึ่งตัว ไมค์กับที่ตั้ง มิดิคีร์บอร์ด และตอนนี้ผมพยายามจะขายกระเป๋าใส่กีตาร์ แล้วก็มิดิคีร์บอร์ดอีกตัวทีผมใช้อยู่ อะไรก็ไม่เท่าให้ผมเศร้านิดๆ เท่ากับการที่ขายกีตาร์ไฟฟ้าไป ถึงมันจะเป็นตัวที่ผมไม่ได้ใช้ แต่ก่อนที่จะขาย ผมก็เปลี่ยนสายมันแล้วก็ขัดส่วนต่างๆให้สะอาดเท่าที่จะทำได้ สายไฟด้านหลังมันขาด ผมก็เลยไปร้านขายของถูกแล้วซื้อSoldering Iron มาเชื่อมสายมั่วๆให้มันใช้ได้ จริงๆแล้ว ผมไม่เคยได้ชื่อว่าเป็นคนที่ชอบกีตาร์เลย ผมไม่รู้เรื่องญี่ห้อหรืออุปกรณ์เหมือนกับคนอื่นๆเขา และผมก็ไม่ใช่คนที่ชอบสะสมกีตาร์หรือเข้าใจลึกซึ้งถึงความแตกต่างของเสียงอะไรแบบนั้น สำหรับผม ตั้งแต่ไหนแต่ไร ผมใช้กีตาร์ญี่ห้ออะไรก็ได้ ขอให้ผมชอบมัน ทั้งเวลาเล่นและเวลามอง พอมาคิดดูจริงๆ ผมเองก็ไม่ได้เสียใจที่ขายมันไป ผมแค่รู้สึกแปลกๆที่มองไปตรงมุมห้องแล้วมันไม่เหมือนเดิม มันทำให้ผมเศร้านิดๆ

เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าดนตรีคือเพื่อน ผมฟังมันและมันฟังผม ไม่ว่าจะเวลาไหนอารมณ์ไหน แต่พอนานๆเข้าผมเริ่มไม่ได้คิดว่ามันเป็นอะไรทั้งนั้น ผู้ชายจะเท่ที่สุดตอนที่เขาเล่นดนตรี ใช่มั้ย? แต่ผมกลับรู้สึกว่าตอนผมเล่นดนตรีคือตอนที่ผมดูเหรอหราที่สุด นานๆทีผมจะรู้สึกว่าตัวเองเท่ แต่ส่วนใหญ่ผมจะรู้สึกว่าผมหน้าตาตลกเพราะอินกับมันเกิน(โดยเฉพาะตอนร้องเพลง) เพราะว่ามันจริงเกินไป มันซื่อสัตย์เกินไป เพราะผมรู้สึกว่าเพลงที่ผมแต่งมันไม่ใช่แค่สิ่งที่ผมร้องและเล่นมัน แต่มันเป็นเหมือนความลับ มันเหมือนการที่ผมเปิดเผยสิ่งที่อยู่ข้างในให้คนอื่นได้รับรู้โดยปิดบังไว้ให้น้อยที่สุด และผมรู้สึกว่ามันต้องใช้ความกล้าและความมั่นใจเป็นอย่างมาก เหมือนกับที่ Kaz Nomura บอกว่า " การเล่นดนตรีสดคือการแก้ผ้าบนเวที " ผมรู้สึกคล้ายๆกัน ถึงแม้จะไม่ได้หนักขนาดนั้น

ดนตรีที่เป็นแฟชั่นคือสิ่งนึง(ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่ดี) แต่ดนตรีที่เป็นศิลปะคืออีกสิ่งนึงที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะเวลามันเป็นศิลปะ แสดงว่าคนเล่นและคนแต่งเป็นศิลปิน และเวลาคนเล่นและคนแต่งเป็นศิลปิน เขาจะทำความรู้จักกับศาสตร์ของเขา เพราะไม่งั้นมันจะไปซ้ำกับคนอื่นและไม่งั้นมันจะด้อยคุณค่าลงไป เหมือนกับคนที่ทำขนมปังเพื่อแค่จะขายกับคนที่ทำขนมปังเพื่อให้คนกิน ขนมปังที่อบออกมามันจะไม่มีทางอร่อยเท่ากัน เพราะวัตถุดิบที่ใช้ก็คนละเกรด ขั้นตอนการทำ ความพิถีพิถันก็ต่างกัน ไม่มีทางที่คนอารมณ์เสียหรือคนที่มีจิตใจไม่ดีจะทำขนมปังอร่อยๆออกมาได้ ผมว่าดนตรีก็เหมือนกัน เพราะดนตรีที่ดีไม่ใช่มาจากคนแต่งหรือคนเล่นที่มีเทคนิคสุดยอดที่สุด แต่มันมาจากคนที่ใส่ความตั้งใจและความรักลงไปในบทเพลง มันมาจากคนที่รักดนตรี

ผมรู้สึกว่าจุดประสงค์ของการแต่งเพลง ไม่ใช่การที่เราไปให้ถึงโน๊ตตัวสุดท้าย เพราะไม่งั้นนักดนตรีที่เก่งที่สุด จะเป็นคนที่เล่นได้เร็วที่สุด คนเข้าไปฟังคอนเสิร์ต เพื่อที่จะไปฟังท่อนสุดท้ายท่อนเดียว  เหมือนกับจุดประสงค์ของการเต้น มันไม่ใช่การที่เราไปให้ถึงจุดใดจุดนึงบนพื้น แต่มันเป็นการที่เราโยกไปกับจังหวะโดยไม่ใช้ความคิด ใช้แต่ความรู้สึก เพราะว่าการคิดต้องใช้พลังงาน ถ้าเราคิดไปด้วยเต้นไปด้วย เราจะใช้พลังงานสองแห่ง(สมองและร่างกาย) แล้วเราจะเต้นได้ไม่นานก็หมดแรง แต่ถ้าเราเต้นโดยใช้ความรู้สึกมันจะออกมาสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะจุดประสงค์ของดนตรี(ผมรู้สึก)อยู่ในการที่เราไม่ไปใส่จุดประสงค์ให้กับมัน ดนตรีมันเป็นแค่ดนตรี และในเวลาเดียวกัน เป็นมากกว่าตัวมันเอง






No comments:

Post a Comment