Wednesday, March 7, 2012

ความทรงจำเมืองไทย ตอนที่ ๒


หลายอย่างในซอยเปลี่ยนไป(จากการกลับไปเยี่ยมครั้งล่าสุด) ซึ่งจริงๆ หลายอย่าง ในที่นี้ อาจจะหมายถึง บางอย่างที่ผมพอจะจำได้ ซึ่งบางอย่างที่ผมพอจะจำได้ มันบังเอิญมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ที่เห็นชัดๆก็คงจะเป็น พวกเพื่อนๆสมัยเด็กที่โตขึ้น และส่วนมากได้ย้ายบ้านออกไปนานแล้ว มีเพื่อนบ้านใหม่หลายคนที่ผมไม่รู้จักย้ายเข้ามาอยู่แทน อากาศก็เหมือนกัน อากาศเปลี่ยนไปจากเมื่อประมาณ10กว่าปีก่อน ตอนแรกผมนึกว่ามันเป็นผลมาจากสภาวะโลกร้อน แต่โลกในซอยเข็มเพชรนั้นจริงๆก็ร้อนมาตั้งนานแล้ว มันแค่ร้อนแปลกไปกว่าเมื่อก่อน หรือ มันอาจจะเป็นความทรงจำของผมที่มันบิดเบือนความจริง เพราะนอกจากอากาศร้อนแล้ว ผมจำความรู้สึกเย็นสบายตอนฝนตกได้แม่นที่สุด ตอนที่ผมนั้งต่อเลโก้อยู่ตรงลานกระเบื้องหน้าบ้าน ส่วนมาก จะมีผมและก็เส่ง(เพื่อนสนิทสมัยเด็ก ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง) นั้งต่อเลโก้กันอยู่สองคน ผมอาจจะเป็นเด็กแปลกประหลาดคนเดียวในระแวกนั้น ที่เอาเลโก้ของหลายๆชุดมาเทรวมกันใส่กระบะไว้จนเต็ม ขนาดประมาณกะละมังซักผ้า แล้วพอถึงเวลาเล่น ผมจะไม่เอามาต่อเป็นอะไรเท่ๆ หรืออะไรตามแบบที่มันควรจะเป็น แต่ผมจะบอกกับไอ้เส่งว่า หัวข้อการเล่นของวันนี้คืออะไร แล้วก็เล่นไปตามนั้น ที่ผมพอจะจำได้ คือการสร้างบ้าน เรือ หรือ ยานในฝันของแต่ละคน ผมกับเส่งจะคุ้ยหาของต่างๆในกระบะมาประยุกต์ทำเป็นผลงานของตัวเอง ตามแต่ของที่บังเอิญคุ้ยหาเจอ ซึ่งผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้ แต่คับคล้ายคับคราว่า ทุกอย่างที่ผมสร้างจะต้องมีห้องอาหารและสเบียง หรืออุปกรณ์ไฮเทคที่มันไม่มีอยู่จริง และจะต้องมีห้องอาบน้ำ ห้องนอน ห้องนั้งเล่น เพราะผมจะจินตนาการว่า ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ผมจะต้องอยู่ในยานลำนั้นอย่างมีความสุขที่สุด

พูดถึงฝน ในซอยที่ผมอยู่ ก่อนที่ฝนจะตกลงมา บรรยากาศจะมาก่อน ท้องฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้ม แล้วลมแรงก็จะพัดมาเป็นระยะๆ แล้วฝนเม็ดใหญ่ๆก็จะตกลงมาด้วยความรวดเร็ว(บ่อยครั้งที่ฟ้าผ่าเสียงดังควบคู่กันไป) ที่ซีแอตเทิลฝนตกเกือบตลอดเวลาก็จริง แต่ฝนจะตกเป็นเม็ดเล็กๆ ตกช้าๆ เบาๆ และจะไม่มีกลิ่นไอแห้งๆชื้นๆเหมือนฝนของเมืองไทย ผมชอบฝนตกเฉพาะตอนที่ผมอยู่ในที่กำบัง เช่น ในบ้านหรืออาคารอะไรซักอย่าง มันทำให้ผมรู้สึกว่า "เอาวะ กูปลอดภัยและ" แล้วผมก็จะนั้งกินอะไรซักอย่างไปพร้อมกับซึมซับบรรยากาศ( ห้องครัวที่บ้านของผมเป็นแบบเปิดและจะอยู่หน้าบ้าน เวลานั้งกินข้าวตอนฝนตกจะได้บรรยากาศดีมาก) มีอยู่ครั้งนึง ตอนผมอายุประมาณ น่าจะ 12-13 พายุขนาดเล็กพัดเข้ามาในซอย ผมจำได้วันนั้นประมาณตอนเย็นๆ ผมปั่นจักรยานไปซื้อไอติมใส่ไข่ร้านประจำหน้าปากซอย ตอนแรกผมว่าจะนั้งกินแต่ด้วยท้องฟ้าที่เริมจะมืดและลมแรงที่เริ่มพัดแรงขึ้นๆ ผมตัดสินใจสั่งกลับบ้าน อยู่ดีๆมีลมแรงมากๆพัดผ่านเข้ามา ผมจำได้ว่าที่ตาของผมมีแต่ฝุ่นเข้าไปเต็มไปหมด แล้วผมก็ได้ยินแต่เสียงผมพัดผ้าใบร้านและเสียงกระดิ่งต่างๆที่ดังอย่างต่อเนื่องมาจากบ้านแถบๆนั้น แล้วลมก็พัดถังอะไรซักอย่างล้มลง เก้าอี้พลาสติกค่อยๆเลื่อน บ้างล้ม บ้างค่อยๆเคลื่อนตัวไปทีละนิดๆ พอซื้อเสร็จ ผมตัดสินใจปั่นตรงดิ่งกลับบ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตามองไปข้างหน้าแบบหลี่ตาเพราะฝุ่นปลิวว่อนมากมายเหลือเกิน พอถึงบ้านผมรีบอาบน้ำเพื่อทำตัวให้อุ่นแล้วก็ภาวนาให้บ้านอยู่รอดปลอดภัย(ซึ่งจริงๆแล้วมันอาจจะไม่ใช่พายุอะไรเลย แต่ตอนนั้นคิดว่าใช่แน่นอน)

และแน่นอน ซอยในตำนานของผม มีสิ่งต่างๆมากมายเหลือเกินที่ไม่เปลี่ยนแปลงและยังคงไว้ด้วยความคลาสสิกจนถึงทุกวันนี้ ถ้าจะให้ผมเริ่ม มันควรจะเป็นเหล่าของกินในตำนาน ที่แน่ๆ ร้านก๊วยเตี๋ยวซ้งในตำนานยังไม่ปิดลง  ปลากรอบ ลูกชิ้นกุ้งและลูกชิ้นปลาทำเองที่อร่อยแบบขายไม่เคยเกินบ่ายโมงร้านก็ขายของจนหมด คนจากทั่วสารทิศต่างพามาลองลิ้มชิมรส ผมเคยชวนเพื่อนมากิน จนทุกวันนี้มันมากินเองเลยโดยไม่ต้องรอให้ผมชวน  และก็ยังมีข้าวขาหมูตุ๋นยาจีนในตำนาน ที่ลุงต้องมาตุ๋นตั้งแต่เนิ่นๆตอนกลางวันแล้วจะเปิดขายตอนเย็น ข้าวมันไก่นรกที่เวลาไหนผมและเพื่อนเหนื่อยจากการแตะบอลต้องมากิน เพราะจานเดียวก็อยู่ไปได้หลายมื้อ ข้าวหมูแดงซอสเยี่ยม และร้านอาหารตามสั่งลุงหนวดที่ผมกับเพื่อนจะนัดกันมากินบ่อยๆเพราะแกทำไวมาก แกจะเปิดเตาแก๊สทิ้งไว้แบบไฟแรงมากๆตลอด ไม่ว่าแกผัดอะไร ไฟจะต้องลุก แม้แต่ไข่เจียวของแก ไฟก็ยังลุกโชดช่วง ผมเคยโจ๊กกับเพื่อนว่า วันดีคืนดี ต้องมีไฟไหม้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างที่สอง ที่เด่นชัดมาก ที่ยังคงอยู่และจะไม่มีวันเปลี่ยนไป คือ น้ำท่วม ตอนที่กรุงเทพมีข่าวน้ำท่วม และหลายคนก็ประสบภัยครั้งใหญ่ ผมทำใจไว้แล้วว่าพี่สาวกับยายจะต้องโดนน้ำท่วมอย่างแน่นอน( แต่แล้วก็ไม่โดน ) เพราะตอนสมัยก่อนที่ผมอยู่ ไม่ต้องมีมหันตภัยอะไร แค่ฝนตกเกินสองวัน น้ำก็นองเต็มซอย ตอนนั้น ผมจำได้ว่า ส.ส. สุดารัตน์ มาลอกท่อไปสองรอบ พอฝนตกอีกก็ยังท่วมอยู่ดี  แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง ผมที่อยู่ในตอนนั้น ก็ยังจะออกไปเล่นกับมัน บางวันที่น้ำท่วมแล้วผมบังเอิญไม่มีอะไรทำ ผมจะปั่นจักรยานลุยไปลุยมาตรงที่น้ำขัง บางครั้งนึกว่าตัวเองเป็นนักผจญภัยอะไรสักอย่างที่มั่นใจในรถจักรยานตัวเองว่า สามารถบุกตะลุยได้ทุกหนทุกแห่ง และแน่นอน ผมไม่เคยกลับมาบ้านแบบไม่สกปรกเลย

วันไหนน้ำขังนองเป็นแอ่งกว้าง ตรงบริเวณโรงขายเศษเหล็กหลังบ้าน จะมีเนินยกระดับพื้นก่อนจะมาถึงตัวบ้านของผม แล้วไอ้ตรงบวิเวณก่อนที่จะถึงเนินนั้นแหละ ที่น้ำจะนองเป็นเวลานาน วันดีคืนดี มีปลามากมายมาแหวกว่ายในหนองน้ำ ไม่ใช่ปลาทอง หรือ แซลมอน แต่เป็นปลาน่าเกลียดตัวเล็กๆดำๆ ที่คาดว่าน่าจะมาจากท่อระบายน้ำที่มันอุดตัน ด้วยความสงสัย(และความอุบาท) ผมเคยเอาสวิงไปช้อนพวกมันขึ้นมาใส่ถังหลายตัวด้วยกัน แล้วก็เอากลับมาดูที่บ้าน ด้วยความฉลาด ผมไม่ได้กินมัน แต่แค่สำรวจรูปร่างลักษณะ ผมว่าผมแค่อยากรู้แน่ชัดว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ แล้วก็ปล่อยมันกลับที่เดิม ยายของผมเคยเปิดร้านขายของชำ ที่ขายทุกอย่างตั้งแต่ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม ไปจนถึง เหล้าขาว ธูป เทียน ไม้ขีดไฟ เครื่องใช้ต่างๆ ตรงบวิเวณหน้าร้าน น้ำจะท่วมตลอด บางครั้งนองจนกลายเป็นเหมือนทะเลขยาดย่อม ผมที่นั้งเล่นอยู่แถวนั้น ก็จะเอาใบไม้ทำเป็นเรือ แล้วก็เขี่ยน้ำให้มันล่องไปเรื่อยๆ แต่ล่องไปได้ไม่ไกล มันก็จะจมหายลงไป ในทะเลสีดำ

(ติดตามตอนต่อไป)


No comments:

Post a Comment