Saturday, March 3, 2012

ความทรงจำเมืองไทย ตอนที่ ๑


ทุกครั้งที่ซีแอตเทิลแดดออกแล้วอากาศดี มันจุดประกายให้ผมต้องเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง ถึงแม้ว่าผมตอนนี้จะล้ามาก ติดต่อมาสอง-สามวัน แต่ผมรู้สึกว่า อย่างน้อยๆ ต้องลงมือเขียนอะไรซักอย่าง ช่วงเวลาแบบนี้ มันทำให้ซีแอตเทิลเป็นที่ๆน่าอยู่ที่สุดในโลก แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่รู้สึกอบอุ่นเท่ากับตอนที่อยู่เมืองไทย ถึงผมจะชอบความเป็นอินดี้ที่นี่แค่ไหน แต่ผมก็ยังเป็นคนไทยและโตมาแบบไทยๆ มีที่เดียวที่ผมจะเรียกมันว่าบ้าน ถึงแม้จะมีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตาม

ไม่รู้ว่าทำไม แต่ความทรงจำในวัยเด็ก มันเป็นอะไรที่ "ดีมาก" เวลามองย้อนกลับ ผมรู้สึกว่า ตอนที่อยู่ในช่วงเวลาเหล่านั้น มันก็ธรรมดาๆ แต่พอได้ผ่านมันมาแล้ว แล้วได้มองย้อนกลับไปอีกที มันทำให้เหตุการณ์ เรียงลำดับกันเป็นตอนๆ เหมือนกับละคร และมันทำให้ผมรู้สึกว่า เวลาเป็นสิ่งที่มันเฟอร์เฟคในตัวของมันแล้ว เพราะว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่หวนกลับ ความทรงจำเลยกลายเป็นสิ่งมีค่า ถ้าเกิดเมื่อใดที่ความทรงจำกลายเป็นสิ่งที่คนไม่จำ และไม่หวนระลึกถึง เมื่อนั้น ผมว่า เราจะกลายเป็นคนที่สื่อสารไม่เป็น เป็นคนที่ไม่รู้จักตัวเอง คนป่วยที่เป็นโรคความจำสั้นที่จำได้แค่ไม่กี่วินาทีก็ลืม เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เพราะไม่มีสิ่งใดให้สะท้อน การสะท้อนทำให้เกิดตัวตน เหมือนเวลาเราเข้าไปร้องเพลงในห้องน้ำ แล้วค้นพบว่า อยู่ดีๆ เราเสียงดีขึ้น เพราะว่ากำแพงห้องน้ำเป็นตัวสะท้อนเสียงกลับมาหาเรา เพราะงั้นเราเลยมีความสุขในการถ่ายรูป เวลาเราไปเที่ยวตามที่ต่างๆ แล้วเจอสิ่งสวยงาม เราอยากเก็บความรู้สึกนั้นไว้ เพื่อที่จะได้กลับมาหวนระลึกถึงมัน เพราะงั้นเราถึงชอบเล่นเฟสบุ๊ค เพราะการที่เราได้ระบายความในใจ การที่เราได้สื่อสารกับผู้คน การที่เราได้ถ่ายทอดความเป็นตัวเองออกมา แล้วมีอะไรบางอย่างเป็นตัวบันทึกเหตุการณ์เหล่านั้นไว้ ทำให้เกิดการสะท้อนของตัวตนของเรา กลับมาหาเรา เพราะงั้นเลยมีคนบอกว่า " ความสุขนั้นเป็นจริงก็ต่อเมื่อแบ่งปัน " บางคนคิดว่าการแบ่งปันคือการให้เฉยๆ แต่นั้นจริงแค่ครึ่งเดียว การแบ่งปันคือ การให้ + การรับ การที่เราส่งสิ่งนึงออกไปแล้วมีบางอย่างสะท้อนกลับมา เพราะฉะนั้นความสุขตอนที่สุขอยู่มันจะยังไม่สุขดี จนวินาทีที่เราก้าวถอยหลังออกมา แล้วระลึกถึงมัน

ผมรู้สึกว่า ผมหลงรักเมืองไทยในจินตนาการ มากกว่าเมืองไทยในความเป็นจริง ผมรู้ดี รู้แน่ชัด และรู้ซึ้งถึงสิ่งไม่ค่อยดี ที่มีมากมายในสังคม แต่ด้วยความเคยชินและการที่ยังมีสิ่งดีๆหลงเหลืออยู่ ทำให้สิ่งไม่ดีที่ผมว่า กลายเป็นเพียงรสแฝงในซุป ถ้าเปรียบเป็นวัตถุดิบ สิ่งไม่ดีอาจจะเป็นแค่น้ำปลาที่เยาะลงไปในซุป แต่ผมอยากจะกินซุป ไม่ใช่เพื่อจะลิ้มรสน้ำปลา แต่เพื่อลิ้มรสทุกๆอย่างผสมกัน สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากในเมืองไทย และอเมริกาไม่มีทางมี คือ ระบบสังคมแบบหมู่บ้าน ที่ซีแอตเทิล ผมไม่สามารถนอนเล่นอยู่ในบ้านแล้ว อยู่ดีๆ นึกอยากจะเดินออกมาหาของที่ต้องการก็หาได้เลย( ถึงแม้ในดาวทาวนซีแอตเทิล จะมีร้านค้าและร้านขายของมากมาย แต่นั้น ไม่ใช่หมู่บ้าน)  การวางผังเมืองที่นี่ ด้วยเหตุผลที่ผมไม่เข้าใจ ที่อยู่อาศัยจะไม่รวมกับย่านธุรกิจ อย่างน้อยๆ จะต้องห่างกันประมาณ ขับรถ 10 นาที แต่ที่เมืองไทย ในซอยที่ผมอยู่ ผมสามารถเดินออกมาจากบ้าน และเจอ ร้านอาหารข้างทาง( เฮียหนวด ซ้ง ร้านกลางซอย และอีกมากมาย) ร้านซ่อมจักรยาน ร้ายขายของชำ ( อาม้อ ร้านกลางซอย ร้านหน้าปากซอย) แผงขายผัก แผงขายหมู ร้านขายนิตรยาสาร ร้านเช่าการ์ตูน ร้านเช่าวีดีโอ เซเว่นอีเลเว่น คลีนิคหมอฟัน ร้านตัดผม ร้านอินเตอร์เน็ต ฯลฯ( นี่ยังไม่รวมวันศุกร์ที่จะมีตลาดนัดกลางซอย ทำให้ปริมาณร้านขายของกินเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว) และผมสามารถไปเยี่ยมชมที่เหล่านั้นได้โดยใช้เท้าเดินหรือปั่นจักรยาน ภายในเวลา 10-20 นาที

อย่างที่สองในสังคมไทยที่ผมชอบมาก ตั้งแต่สมัยเด็กจนถึงปัจจุบัน คือ การขายของหาบเร่ (หรือปัจจุบันใช้รถเข็น หรือ รถมอไซค์พ่วง) จากประสบการณ์อันน้อยนิดที่ผมมี ผมรู้สึกว่า เวลาคนไทยไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไรดี เราจะขายของกิน หรือไม่ก็ของอะไรซักอย่าง การขายของแบบร่อนเร่มันดียังไงน่ะหรอครับ ? ผมจะบอกให้ อย่างแรกเลยคือ อำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อ ในภาวะที่โลกร้อนตัว น้ำมันขึ้นราคา และเวลาเป็นสิ่งสำคัญ การที่จะมีใครสักคน ฝ่าแดดฝ่าลมฝ่าความยากลำบากเพื่อจะมาขายของให้ถึงหน้าบ้านของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนพึงพอใจ โดยเฉพาะผมในช่วงเด็กๆ เวลาได้ยินเสียงของรถไอติมวอล์ เสียงตะโกนขายซาลาเปาขนมจีบ(ที่ตลกที่สุดในโลก) เสียงบีบแตรของคนขายโตเกียว และการมาเงียบๆของคนขายโรตี เป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกสบายแก่ผมมาก อย่างที่สองก็คือ มันง่าย ไม่ว่าใครก็สามารถประกอบอาชีพเหล่านี้ได้ เพียงแต่ว่าคุณมีตังค์พอที่จะซื้อรถเข็นและความรู้เฉพาะในการขายสิ่งที่คุณอยากจะขาย ไม่ต้องมีใบรับรอง ไม่ต้องลงทะเบียณ ไม่ต้องมีใบอะไรทั้งนั้น (บางที ใบขับขี่ ถ้าคุณชับมอไซค์) และอย่างสุดท้ายและสำคัญที่สุดก็คือ มันทำให้คนเกิดการเซอร์ไพรส์ พี่ลองคิดดูสิครับ สมมุติว่า ผมนั้งดูทีวีอยู่บนโซฟาแล้วมันก็สนุก แต่พอเวลาผ่านไป มันเริ่มอื่มตัว ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ทันใดนั้น ผมได้ยินเสียงของรถขายเผือกทอดเต้าหู้้ทอดมาจอดตรงหน้าบ้าน ผมรีบวิ่งออกคว้าเงินที่วางอยู่บนตู้ แล้วออกไปซื้อเผือกทอดกลับมากิน มันทำให้ผมแฮปปี้แบบไม่มีการคาดเดามาก่อน ข้อเสียอย่างเดียวที่ผมนึกได้ก็คือ เราต้องทำเป็นไม่ตื่นตัวแล้วเราจะได้ของนั้นมา ถ้าวันไหนเราตื่นตัว คนขายจะไม่แวะเข้ามา ทำให้เราคอยเก้อ หรือบางทีนี่อาจจะเป็นแค่ผมคนเดียว ผมอาจจะเป็นเด็กคนเดียวในซอย ที่ต้องวิ่งไล่ตามรถขายบะหมี่ก็เป็นได้

(ติดตามตอนต่อไป)

No comments:

Post a Comment