Sunday, June 10, 2012

"ดอกไม้ที่ไม่มีชื่อ" - กู้ เฉิง







      ต้นพ็อพล่าร์


      เวลาฉันสูญเสียแขน

      ฉันเปิดตา






      ดอกไม้ที่ไม่มีชื่อ

      ดอกไม้ป่า

      จุดดวงดาว

      เฉกเช่นกระดุม

      ที่หล่นหายอยู่ข้างทาง


      พวกมันไม่มีของดอกเก็กฮวย

      ลายพาดสีทอง

      ไม่มีของดอกโบตั๋น

      ความอ่อนโยน


      พวกมันมีแค่ดอกไม้เล็กๆ

      และใบที่อ่อนแอ

      พัดโชยกลิ่นไอบางๆ

      ไปในฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม


      กลอนของฉัน

      เหมือนกับดอกไม้ที่ไม่มีชื่อ

      ตามสายลมและสายฝนของฤดู

      ค่อยๆบานอยู่เงียบๆ

      ในโลกที่เดียวดายของผู้คน





      ถึงแอนเดอร์สัน

      
      เม็ดทรายสีทอง

      ได้ฝังเรื่องราวต่างๆของเธอ

      ไปพร้อมกับ

      รอยยิ้มและน้ำตาของฉัน ที่ออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
      
      
      ฉันเชื่อ

      ว่าเราคือเมล็ดพันธุ์

      เราต้องตายก่อน

      เราถึงจะมีชีวิต


      เมื่อฉันกลับมา

      พร้อมกับหน้าผาหิมะสีขาว

      ทะเลทรายจะกลาย

      เป็นโลกแห่งมรกต


      ฉันอยากจะแผ่นอนอยู่ตรงนั้น

      บนหมู่ดอกไม้และหยาดน้ำค้าง

      รำลึงถึงความรู้สึกต่างๆ

      ที่ฉันมีเมื่อครั้งเยาว์วัย
     

     

       การหลีกเลี่ยง


       เธอไม่อยากที่จะปลูกดอกไม้

       เธอเอ่ย

       " ฉันไม่อยากเห็นมันค่อยๆแห้งเหี่ยวเฉา "

       ใช่


       เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจุดจบ

       เธอหลีกเลี่ยงทุกการเริ่มต้น




    ฉันเป็นเด็กเอาแต่ใจ


    อาจจะเป็นไปได้

    ฉันคือเด็กน้อยที่ถูกมารดาตามใจ

    ฉันนั้นช่างเอาแต่ใจ

    ฉันหวัง

    ว่าทุกช่วงเวลา

    นั้นเต็มไปด้วยสีสันเช่นดินสอสี

    ฉันหวัง

    ว่าฉันสามารถวาดลงบนกระดาษ

    อิสระภาพที่แปลกประหลาด

    วาดดวงตา

    ที่ไม่มีวันร้องไห้

    ท้องฟ้า

    ขนนกและใบไม้ ที่อาศัยอยู่บนเวหา

    ยามเย็นสีเขียวอ่อน และลูกแอปเปิ้ล


    ฉันอยากจะวาดรุ่งอรุณ

    วาดน้ำค้าง

    รอยยิ้มมากมายที่ฉันเห็น

   ฉันอยากจะวาด

   ความรักแบบเด็กๆที่ไม่เจ็บปวด

   วาดในจินตนาการ

   คนรักของฉัน

   เธอไม่เคยได้เห็นท้องฟ้าที่มืดครึ้มเลย

   ดวงตาของเธอยังคงเป็นสีฟ้าใส

   เธอจะคอยจ้องมองฉันตลอดเวลา

   มองอยู่ ตลอดเวลา

   ไม่มีทางจะเมินหน้าหนี


   ฉันอยากจะวาดทิวทัศน์ที่กว้างไกล

   วาดเส้นขอบฟ้าและเกลียวคลื่น

   วาดหมู่ลำธารที่มีความสุข

   วาดเนินเขาเล็กๆ

   ที่ผุดงอกออกมา

   ฉันจะเอามันมารวมกัน

   ให้มันรักกัน

   ให้มันปรับตัวเข้าหากัน

   ให้ฤดูใบไม้ผลิที่เคลื่อนตัวอย่างไร้เสียง

    เป็นจุดกำเนิดของดอกไม้ดอกน้อยๆ


     และฉันอยากจะวาดอนาคต

     ฉันไม่เคยเห็นเธอ และคงไม่มีวัน

     แต่ฉันรู้ว่าเธอนั้นช่างสวยงาม

     ฉันจะวาดเสื้อกันลมฤดูใบไม้ร่วงของเธอ

     วาดเปลวเทียนและใบเมเปิล

    วาดดวงใจหลายๆดวงที่พองออกมา

     เพื่อความรักของเธอ

     วาดการสมรส

     วาดวันหยุดพิเศษ ที่จะคอยมาเรื่อยๆ

     หมู่ลูกกวาดแท่งไว้ด้านบน

     และภาพต่างๆจากหนังสือนิทาน


     ฉันช่างเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ

     ฉันอยากจะลบความทุกข์ทั้งหลายแหล่ให้หมดสิ้น

     ฉันอยากจะวาดหน้าต่าง

     ให้เต็มไปทั่วทั้งผืนแผ่นดิน

     ให้ดวงตาที่ชินกันความมืดมิด

     ชินกับแสงสว่าง

     ฉันอยากจะวาดสายลม

     วาดหมู่เทือกเขาที่ทอดยาวสูงขึ้นเรื่อยๆ

     วาดความโหยหาของผู้คนในแทบตะวันออก

     วาดมหาสมุทร

     เสียงของความสุขที่ดังไม่มีหยุด

     สุดท้าย ที่มุมของกระดาษ

     ฉันอยากจะวาดตัวฉันเอง

     วาดหมีโคล่า

     ลึกในป่าวิกตอเรีย

     กำลังนั้งบนกิ่งไม่นิ่ง

     ช้า

     ไม่มีบ้าน

     ไม่มีใจที่เหม่อลอย

     มีแค่เพียง

     เหล่าความฝันลูกเบอร์รี่

     และดวงตาใหญ่โต


     ฉันได้แต่หวัง

     ต้องการ

     แต่ไม่รู้ทำไม

     ฉันไม่มีดินสอสี

     ไม่เคยมีช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยสีสันเลย

      ฉันมีแค่ฉัน

      นิ้วมือและความเจ็บปวด

      จากการสร้างสรรค์

      เศษกระดาษโทรมๆ

      ให้มันออกไปตามหาผีเสื้อเถอะ

      ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

      ให้มันออกไปจากที่แห่งนี้ซะ


      ฉันเป็นเด็กน้อย

      ที่ถูกตามใจจากมารดาในจินตนาการ

      ฉันช่างเอาแต่ใจ


--------------------------






อ่านประวัติของกู้ เฉิงได้ที่ บล็อคของ ซะการีย์ยา อมตะยา

กลอนทั้งหมดแปลมาจากเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของ Aaron Crippen
แปลเป็นไทย โดย วุฒิพงษ์ มหาสมุทร







Friday, May 25, 2012

05/25/12

     A true educated person isn't just someone who is smart, knowledgeable and successful but he also has to be able to make good use of the knowledge of others( or of something other than himself ), apply it to his own skill, and inspire on. He has to be able to improvise and incorporate with what has already been provided for him. Look at the traditional Japanese people. Thier farming relies mostly on gravity to transport water, their houses make the most advantage out of the trees, sunlight, wind and the earth.

     Japanese carpenters( who are also architects) build their houses using joinery system that is so long-lasting, so easy to put together( without using nails or power tools ), so easy to fix, replace, and so easy to reuse and recycle. They make the most out of the geographical advantages; the siting of the house is an art of coexisting humans with nature( or vice versa ) with the least interference possible( it's IMPOSSIBLE not to interfere for existing is already an act of interfering ).

   


Friday, April 13, 2012

My Favourite Bruce Lee's Quote

All these bullshit artists. When they're bound by a set of ideas or a way of doing things, that's when they're stop growing. And I walked out and I said, " Fuck you, man! Here I come! " 

- Bruce Lee



Friday, March 16, 2012

Funny Feeling

Usually things become funny when I laugh
But now the more I laugh the more I feel weird
funny feeling
no longer funny

Poetry has failed
It too becomes like a gun
And I,
like an angry young man,
shooting away bullets
not caring if my gun is empty
and pretending everything will be okay

Is poetry a weapon of mine ?
Can a lover such as I
also am a killer ?
Guns don't kill people, they said,
It's the bullets that do so

Nonsense

Words too are so
just a group of empty shells
Once shot and missed
They become garbage

What is this devilish thought ?
A poem should heal people
and a poet a healer

But like I said
this funny feeling
no longer funny




Wednesday, March 7, 2012

ความทรงจำเมืองไทย ตอนที่ ๒


หลายอย่างในซอยเปลี่ยนไป(จากการกลับไปเยี่ยมครั้งล่าสุด) ซึ่งจริงๆ หลายอย่าง ในที่นี้ อาจจะหมายถึง บางอย่างที่ผมพอจะจำได้ ซึ่งบางอย่างที่ผมพอจะจำได้ มันบังเอิญมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ที่เห็นชัดๆก็คงจะเป็น พวกเพื่อนๆสมัยเด็กที่โตขึ้น และส่วนมากได้ย้ายบ้านออกไปนานแล้ว มีเพื่อนบ้านใหม่หลายคนที่ผมไม่รู้จักย้ายเข้ามาอยู่แทน อากาศก็เหมือนกัน อากาศเปลี่ยนไปจากเมื่อประมาณ10กว่าปีก่อน ตอนแรกผมนึกว่ามันเป็นผลมาจากสภาวะโลกร้อน แต่โลกในซอยเข็มเพชรนั้นจริงๆก็ร้อนมาตั้งนานแล้ว มันแค่ร้อนแปลกไปกว่าเมื่อก่อน หรือ มันอาจจะเป็นความทรงจำของผมที่มันบิดเบือนความจริง เพราะนอกจากอากาศร้อนแล้ว ผมจำความรู้สึกเย็นสบายตอนฝนตกได้แม่นที่สุด ตอนที่ผมนั้งต่อเลโก้อยู่ตรงลานกระเบื้องหน้าบ้าน ส่วนมาก จะมีผมและก็เส่ง(เพื่อนสนิทสมัยเด็ก ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง) นั้งต่อเลโก้กันอยู่สองคน ผมอาจจะเป็นเด็กแปลกประหลาดคนเดียวในระแวกนั้น ที่เอาเลโก้ของหลายๆชุดมาเทรวมกันใส่กระบะไว้จนเต็ม ขนาดประมาณกะละมังซักผ้า แล้วพอถึงเวลาเล่น ผมจะไม่เอามาต่อเป็นอะไรเท่ๆ หรืออะไรตามแบบที่มันควรจะเป็น แต่ผมจะบอกกับไอ้เส่งว่า หัวข้อการเล่นของวันนี้คืออะไร แล้วก็เล่นไปตามนั้น ที่ผมพอจะจำได้ คือการสร้างบ้าน เรือ หรือ ยานในฝันของแต่ละคน ผมกับเส่งจะคุ้ยหาของต่างๆในกระบะมาประยุกต์ทำเป็นผลงานของตัวเอง ตามแต่ของที่บังเอิญคุ้ยหาเจอ ซึ่งผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้ แต่คับคล้ายคับคราว่า ทุกอย่างที่ผมสร้างจะต้องมีห้องอาหารและสเบียง หรืออุปกรณ์ไฮเทคที่มันไม่มีอยู่จริง และจะต้องมีห้องอาบน้ำ ห้องนอน ห้องนั้งเล่น เพราะผมจะจินตนาการว่า ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ผมจะต้องอยู่ในยานลำนั้นอย่างมีความสุขที่สุด

พูดถึงฝน ในซอยที่ผมอยู่ ก่อนที่ฝนจะตกลงมา บรรยากาศจะมาก่อน ท้องฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้ม แล้วลมแรงก็จะพัดมาเป็นระยะๆ แล้วฝนเม็ดใหญ่ๆก็จะตกลงมาด้วยความรวดเร็ว(บ่อยครั้งที่ฟ้าผ่าเสียงดังควบคู่กันไป) ที่ซีแอตเทิลฝนตกเกือบตลอดเวลาก็จริง แต่ฝนจะตกเป็นเม็ดเล็กๆ ตกช้าๆ เบาๆ และจะไม่มีกลิ่นไอแห้งๆชื้นๆเหมือนฝนของเมืองไทย ผมชอบฝนตกเฉพาะตอนที่ผมอยู่ในที่กำบัง เช่น ในบ้านหรืออาคารอะไรซักอย่าง มันทำให้ผมรู้สึกว่า "เอาวะ กูปลอดภัยและ" แล้วผมก็จะนั้งกินอะไรซักอย่างไปพร้อมกับซึมซับบรรยากาศ( ห้องครัวที่บ้านของผมเป็นแบบเปิดและจะอยู่หน้าบ้าน เวลานั้งกินข้าวตอนฝนตกจะได้บรรยากาศดีมาก) มีอยู่ครั้งนึง ตอนผมอายุประมาณ น่าจะ 12-13 พายุขนาดเล็กพัดเข้ามาในซอย ผมจำได้วันนั้นประมาณตอนเย็นๆ ผมปั่นจักรยานไปซื้อไอติมใส่ไข่ร้านประจำหน้าปากซอย ตอนแรกผมว่าจะนั้งกินแต่ด้วยท้องฟ้าที่เริมจะมืดและลมแรงที่เริ่มพัดแรงขึ้นๆ ผมตัดสินใจสั่งกลับบ้าน อยู่ดีๆมีลมแรงมากๆพัดผ่านเข้ามา ผมจำได้ว่าที่ตาของผมมีแต่ฝุ่นเข้าไปเต็มไปหมด แล้วผมก็ได้ยินแต่เสียงผมพัดผ้าใบร้านและเสียงกระดิ่งต่างๆที่ดังอย่างต่อเนื่องมาจากบ้านแถบๆนั้น แล้วลมก็พัดถังอะไรซักอย่างล้มลง เก้าอี้พลาสติกค่อยๆเลื่อน บ้างล้ม บ้างค่อยๆเคลื่อนตัวไปทีละนิดๆ พอซื้อเสร็จ ผมตัดสินใจปั่นตรงดิ่งกลับบ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตามองไปข้างหน้าแบบหลี่ตาเพราะฝุ่นปลิวว่อนมากมายเหลือเกิน พอถึงบ้านผมรีบอาบน้ำเพื่อทำตัวให้อุ่นแล้วก็ภาวนาให้บ้านอยู่รอดปลอดภัย(ซึ่งจริงๆแล้วมันอาจจะไม่ใช่พายุอะไรเลย แต่ตอนนั้นคิดว่าใช่แน่นอน)

และแน่นอน ซอยในตำนานของผม มีสิ่งต่างๆมากมายเหลือเกินที่ไม่เปลี่ยนแปลงและยังคงไว้ด้วยความคลาสสิกจนถึงทุกวันนี้ ถ้าจะให้ผมเริ่ม มันควรจะเป็นเหล่าของกินในตำนาน ที่แน่ๆ ร้านก๊วยเตี๋ยวซ้งในตำนานยังไม่ปิดลง  ปลากรอบ ลูกชิ้นกุ้งและลูกชิ้นปลาทำเองที่อร่อยแบบขายไม่เคยเกินบ่ายโมงร้านก็ขายของจนหมด คนจากทั่วสารทิศต่างพามาลองลิ้มชิมรส ผมเคยชวนเพื่อนมากิน จนทุกวันนี้มันมากินเองเลยโดยไม่ต้องรอให้ผมชวน  และก็ยังมีข้าวขาหมูตุ๋นยาจีนในตำนาน ที่ลุงต้องมาตุ๋นตั้งแต่เนิ่นๆตอนกลางวันแล้วจะเปิดขายตอนเย็น ข้าวมันไก่นรกที่เวลาไหนผมและเพื่อนเหนื่อยจากการแตะบอลต้องมากิน เพราะจานเดียวก็อยู่ไปได้หลายมื้อ ข้าวหมูแดงซอสเยี่ยม และร้านอาหารตามสั่งลุงหนวดที่ผมกับเพื่อนจะนัดกันมากินบ่อยๆเพราะแกทำไวมาก แกจะเปิดเตาแก๊สทิ้งไว้แบบไฟแรงมากๆตลอด ไม่ว่าแกผัดอะไร ไฟจะต้องลุก แม้แต่ไข่เจียวของแก ไฟก็ยังลุกโชดช่วง ผมเคยโจ๊กกับเพื่อนว่า วันดีคืนดี ต้องมีไฟไหม้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างที่สอง ที่เด่นชัดมาก ที่ยังคงอยู่และจะไม่มีวันเปลี่ยนไป คือ น้ำท่วม ตอนที่กรุงเทพมีข่าวน้ำท่วม และหลายคนก็ประสบภัยครั้งใหญ่ ผมทำใจไว้แล้วว่าพี่สาวกับยายจะต้องโดนน้ำท่วมอย่างแน่นอน( แต่แล้วก็ไม่โดน ) เพราะตอนสมัยก่อนที่ผมอยู่ ไม่ต้องมีมหันตภัยอะไร แค่ฝนตกเกินสองวัน น้ำก็นองเต็มซอย ตอนนั้น ผมจำได้ว่า ส.ส. สุดารัตน์ มาลอกท่อไปสองรอบ พอฝนตกอีกก็ยังท่วมอยู่ดี  แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง ผมที่อยู่ในตอนนั้น ก็ยังจะออกไปเล่นกับมัน บางวันที่น้ำท่วมแล้วผมบังเอิญไม่มีอะไรทำ ผมจะปั่นจักรยานลุยไปลุยมาตรงที่น้ำขัง บางครั้งนึกว่าตัวเองเป็นนักผจญภัยอะไรสักอย่างที่มั่นใจในรถจักรยานตัวเองว่า สามารถบุกตะลุยได้ทุกหนทุกแห่ง และแน่นอน ผมไม่เคยกลับมาบ้านแบบไม่สกปรกเลย

วันไหนน้ำขังนองเป็นแอ่งกว้าง ตรงบริเวณโรงขายเศษเหล็กหลังบ้าน จะมีเนินยกระดับพื้นก่อนจะมาถึงตัวบ้านของผม แล้วไอ้ตรงบวิเวณก่อนที่จะถึงเนินนั้นแหละ ที่น้ำจะนองเป็นเวลานาน วันดีคืนดี มีปลามากมายมาแหวกว่ายในหนองน้ำ ไม่ใช่ปลาทอง หรือ แซลมอน แต่เป็นปลาน่าเกลียดตัวเล็กๆดำๆ ที่คาดว่าน่าจะมาจากท่อระบายน้ำที่มันอุดตัน ด้วยความสงสัย(และความอุบาท) ผมเคยเอาสวิงไปช้อนพวกมันขึ้นมาใส่ถังหลายตัวด้วยกัน แล้วก็เอากลับมาดูที่บ้าน ด้วยความฉลาด ผมไม่ได้กินมัน แต่แค่สำรวจรูปร่างลักษณะ ผมว่าผมแค่อยากรู้แน่ชัดว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ แล้วก็ปล่อยมันกลับที่เดิม ยายของผมเคยเปิดร้านขายของชำ ที่ขายทุกอย่างตั้งแต่ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม ไปจนถึง เหล้าขาว ธูป เทียน ไม้ขีดไฟ เครื่องใช้ต่างๆ ตรงบวิเวณหน้าร้าน น้ำจะท่วมตลอด บางครั้งนองจนกลายเป็นเหมือนทะเลขยาดย่อม ผมที่นั้งเล่นอยู่แถวนั้น ก็จะเอาใบไม้ทำเป็นเรือ แล้วก็เขี่ยน้ำให้มันล่องไปเรื่อยๆ แต่ล่องไปได้ไม่ไกล มันก็จะจมหายลงไป ในทะเลสีดำ

(ติดตามตอนต่อไป)


Saturday, March 3, 2012

ความทรงจำเมืองไทย ตอนที่ ๑


ทุกครั้งที่ซีแอตเทิลแดดออกแล้วอากาศดี มันจุดประกายให้ผมต้องเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง ถึงแม้ว่าผมตอนนี้จะล้ามาก ติดต่อมาสอง-สามวัน แต่ผมรู้สึกว่า อย่างน้อยๆ ต้องลงมือเขียนอะไรซักอย่าง ช่วงเวลาแบบนี้ มันทำให้ซีแอตเทิลเป็นที่ๆน่าอยู่ที่สุดในโลก แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่รู้สึกอบอุ่นเท่ากับตอนที่อยู่เมืองไทย ถึงผมจะชอบความเป็นอินดี้ที่นี่แค่ไหน แต่ผมก็ยังเป็นคนไทยและโตมาแบบไทยๆ มีที่เดียวที่ผมจะเรียกมันว่าบ้าน ถึงแม้จะมีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตาม

ไม่รู้ว่าทำไม แต่ความทรงจำในวัยเด็ก มันเป็นอะไรที่ "ดีมาก" เวลามองย้อนกลับ ผมรู้สึกว่า ตอนที่อยู่ในช่วงเวลาเหล่านั้น มันก็ธรรมดาๆ แต่พอได้ผ่านมันมาแล้ว แล้วได้มองย้อนกลับไปอีกที มันทำให้เหตุการณ์ เรียงลำดับกันเป็นตอนๆ เหมือนกับละคร และมันทำให้ผมรู้สึกว่า เวลาเป็นสิ่งที่มันเฟอร์เฟคในตัวของมันแล้ว เพราะว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่หวนกลับ ความทรงจำเลยกลายเป็นสิ่งมีค่า ถ้าเกิดเมื่อใดที่ความทรงจำกลายเป็นสิ่งที่คนไม่จำ และไม่หวนระลึกถึง เมื่อนั้น ผมว่า เราจะกลายเป็นคนที่สื่อสารไม่เป็น เป็นคนที่ไม่รู้จักตัวเอง คนป่วยที่เป็นโรคความจำสั้นที่จำได้แค่ไม่กี่วินาทีก็ลืม เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เพราะไม่มีสิ่งใดให้สะท้อน การสะท้อนทำให้เกิดตัวตน เหมือนเวลาเราเข้าไปร้องเพลงในห้องน้ำ แล้วค้นพบว่า อยู่ดีๆ เราเสียงดีขึ้น เพราะว่ากำแพงห้องน้ำเป็นตัวสะท้อนเสียงกลับมาหาเรา เพราะงั้นเราเลยมีความสุขในการถ่ายรูป เวลาเราไปเที่ยวตามที่ต่างๆ แล้วเจอสิ่งสวยงาม เราอยากเก็บความรู้สึกนั้นไว้ เพื่อที่จะได้กลับมาหวนระลึกถึงมัน เพราะงั้นเราถึงชอบเล่นเฟสบุ๊ค เพราะการที่เราได้ระบายความในใจ การที่เราได้สื่อสารกับผู้คน การที่เราได้ถ่ายทอดความเป็นตัวเองออกมา แล้วมีอะไรบางอย่างเป็นตัวบันทึกเหตุการณ์เหล่านั้นไว้ ทำให้เกิดการสะท้อนของตัวตนของเรา กลับมาหาเรา เพราะงั้นเลยมีคนบอกว่า " ความสุขนั้นเป็นจริงก็ต่อเมื่อแบ่งปัน " บางคนคิดว่าการแบ่งปันคือการให้เฉยๆ แต่นั้นจริงแค่ครึ่งเดียว การแบ่งปันคือ การให้ + การรับ การที่เราส่งสิ่งนึงออกไปแล้วมีบางอย่างสะท้อนกลับมา เพราะฉะนั้นความสุขตอนที่สุขอยู่มันจะยังไม่สุขดี จนวินาทีที่เราก้าวถอยหลังออกมา แล้วระลึกถึงมัน

ผมรู้สึกว่า ผมหลงรักเมืองไทยในจินตนาการ มากกว่าเมืองไทยในความเป็นจริง ผมรู้ดี รู้แน่ชัด และรู้ซึ้งถึงสิ่งไม่ค่อยดี ที่มีมากมายในสังคม แต่ด้วยความเคยชินและการที่ยังมีสิ่งดีๆหลงเหลืออยู่ ทำให้สิ่งไม่ดีที่ผมว่า กลายเป็นเพียงรสแฝงในซุป ถ้าเปรียบเป็นวัตถุดิบ สิ่งไม่ดีอาจจะเป็นแค่น้ำปลาที่เยาะลงไปในซุป แต่ผมอยากจะกินซุป ไม่ใช่เพื่อจะลิ้มรสน้ำปลา แต่เพื่อลิ้มรสทุกๆอย่างผสมกัน สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากในเมืองไทย และอเมริกาไม่มีทางมี คือ ระบบสังคมแบบหมู่บ้าน ที่ซีแอตเทิล ผมไม่สามารถนอนเล่นอยู่ในบ้านแล้ว อยู่ดีๆ นึกอยากจะเดินออกมาหาของที่ต้องการก็หาได้เลย( ถึงแม้ในดาวทาวนซีแอตเทิล จะมีร้านค้าและร้านขายของมากมาย แต่นั้น ไม่ใช่หมู่บ้าน)  การวางผังเมืองที่นี่ ด้วยเหตุผลที่ผมไม่เข้าใจ ที่อยู่อาศัยจะไม่รวมกับย่านธุรกิจ อย่างน้อยๆ จะต้องห่างกันประมาณ ขับรถ 10 นาที แต่ที่เมืองไทย ในซอยที่ผมอยู่ ผมสามารถเดินออกมาจากบ้าน และเจอ ร้านอาหารข้างทาง( เฮียหนวด ซ้ง ร้านกลางซอย และอีกมากมาย) ร้านซ่อมจักรยาน ร้ายขายของชำ ( อาม้อ ร้านกลางซอย ร้านหน้าปากซอย) แผงขายผัก แผงขายหมู ร้านขายนิตรยาสาร ร้านเช่าการ์ตูน ร้านเช่าวีดีโอ เซเว่นอีเลเว่น คลีนิคหมอฟัน ร้านตัดผม ร้านอินเตอร์เน็ต ฯลฯ( นี่ยังไม่รวมวันศุกร์ที่จะมีตลาดนัดกลางซอย ทำให้ปริมาณร้านขายของกินเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว) และผมสามารถไปเยี่ยมชมที่เหล่านั้นได้โดยใช้เท้าเดินหรือปั่นจักรยาน ภายในเวลา 10-20 นาที

อย่างที่สองในสังคมไทยที่ผมชอบมาก ตั้งแต่สมัยเด็กจนถึงปัจจุบัน คือ การขายของหาบเร่ (หรือปัจจุบันใช้รถเข็น หรือ รถมอไซค์พ่วง) จากประสบการณ์อันน้อยนิดที่ผมมี ผมรู้สึกว่า เวลาคนไทยไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไรดี เราจะขายของกิน หรือไม่ก็ของอะไรซักอย่าง การขายของแบบร่อนเร่มันดียังไงน่ะหรอครับ ? ผมจะบอกให้ อย่างแรกเลยคือ อำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อ ในภาวะที่โลกร้อนตัว น้ำมันขึ้นราคา และเวลาเป็นสิ่งสำคัญ การที่จะมีใครสักคน ฝ่าแดดฝ่าลมฝ่าความยากลำบากเพื่อจะมาขายของให้ถึงหน้าบ้านของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนพึงพอใจ โดยเฉพาะผมในช่วงเด็กๆ เวลาได้ยินเสียงของรถไอติมวอล์ เสียงตะโกนขายซาลาเปาขนมจีบ(ที่ตลกที่สุดในโลก) เสียงบีบแตรของคนขายโตเกียว และการมาเงียบๆของคนขายโรตี เป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกสบายแก่ผมมาก อย่างที่สองก็คือ มันง่าย ไม่ว่าใครก็สามารถประกอบอาชีพเหล่านี้ได้ เพียงแต่ว่าคุณมีตังค์พอที่จะซื้อรถเข็นและความรู้เฉพาะในการขายสิ่งที่คุณอยากจะขาย ไม่ต้องมีใบรับรอง ไม่ต้องลงทะเบียณ ไม่ต้องมีใบอะไรทั้งนั้น (บางที ใบขับขี่ ถ้าคุณชับมอไซค์) และอย่างสุดท้ายและสำคัญที่สุดก็คือ มันทำให้คนเกิดการเซอร์ไพรส์ พี่ลองคิดดูสิครับ สมมุติว่า ผมนั้งดูทีวีอยู่บนโซฟาแล้วมันก็สนุก แต่พอเวลาผ่านไป มันเริ่มอื่มตัว ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ทันใดนั้น ผมได้ยินเสียงของรถขายเผือกทอดเต้าหู้้ทอดมาจอดตรงหน้าบ้าน ผมรีบวิ่งออกคว้าเงินที่วางอยู่บนตู้ แล้วออกไปซื้อเผือกทอดกลับมากิน มันทำให้ผมแฮปปี้แบบไม่มีการคาดเดามาก่อน ข้อเสียอย่างเดียวที่ผมนึกได้ก็คือ เราต้องทำเป็นไม่ตื่นตัวแล้วเราจะได้ของนั้นมา ถ้าวันไหนเราตื่นตัว คนขายจะไม่แวะเข้ามา ทำให้เราคอยเก้อ หรือบางทีนี่อาจจะเป็นแค่ผมคนเดียว ผมอาจจะเป็นเด็กคนเดียวในซอย ที่ต้องวิ่งไล่ตามรถขายบะหมี่ก็เป็นได้

(ติดตามตอนต่อไป)

Sunday, February 26, 2012

02/26/12




I went to University district to buy another black shirt for work. Since I only have one pair of a black shirt and a trouser, I figured that I needed to buy one more( save time and energy for washing and drying them so often). I found a well fit one from Buffalo Exchange for $9. Decided to walk around in the area, I went to the used bookstore Magus Books and found a huge poetry section filled with good books. The lady clerk was very enthusiastic and friendly. I thought this was just about my kind of bookstore. Though I'm not an American by heart and couldn't chit-chat well( partly due to my left ear numbness), the place was really good. I got myself three books--Where Were We Now, an essay about poetry by Cid Coreman, a like-new Shuntaro Tanikawa's NAKED, and a really extraordinary Alan Watts quote-like picture book.